งามหน้า! สนามกีฬา แห่งชาติที่เคยภาคภูมิ ถูกเห็นว่าเป็นสิ่งที่ ผิดปกติ ล่าสุดผู้นำยื่นหนังสือลาออกท่ามกลางการปราบทุจริต
สนามกีฬา แห่งชาติที่เคยภาคภูมิ ถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ ผิดปกติ กลายเป็นปมเดือดระดับประเทศกระทั่งประธานาธิบดีต้องลาออก จากกรณีสนาม กีฬา แห่งชาติหมีดิ่ญ (My Dinh National Stadium) ที่เคยได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์ แห่งความภาคภูมิใจ ของชาวเวียดนาม แต่ตอนนี้กลับถูกเห็นว่าเป็นสิ่งที่ “ผิดปกติ” เมื่อเทียบกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ของประเทศในตอนนี้
มีกล่าวว่า เศรษฐกิจของเวียดนามเมื่อปี 2565 สดใสแซง หน้าหลายประเทศเพื่อนบ้าน ถึงขนาดที่ อันเดรีย คอปโปลา หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ประจำเวียดนาม และก็หัวหน้าโครงการเพื่อการเติบโตอย่างเท่าเทียม, การเงินและก็สถาบันของธนาคารโลก ได้ประเมินตัวเลขการเติบโตของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ไว้ที่ 7.2% โดยมีปัจจัยมาจากการส่งออก อุปสงค์ภายในประเทศ รวมทั้ง การลงทุนของภาคเอกชน

แต่การที่สนามกีฬา ที่ได้ชื่อว่าเป็นสัญลักษณ์แห่งความภาคภูมิใจ
กลับเสื่อมโทรมอย่างมาก ย่อมแสดงให้มองเห็นถึง “สิ่งผิดปกติ” ที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น ขณะที่หนังสือพิมพ์เญิน-เซิน (Nhan Dan) กล่าวว่า อรรธจันทร์มีรอยแตก สีถลอกปอกเปิก ท่อระบายน้ำสกปรก อุปกรณ์รวมทั้งห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าหมดสภาพ ส้วมมีกลิ่นเหม็น พื้นสนามฟุตบอลก็ไม่เรียบ และก็หญ้าเป็นสีเหลือง
ดังนี้ ดัง ฮา เวียต อธิบดีกรมพลศึกษาแล้วก็กีฬา กล่าวในการแถลงข่าวเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2565 ว่า “นี่ไม่เกี่ยวกับการขาดแคลน งบประมาณ หรือ สนามกีฬา หมีดิ่ญ ลืมการบำรุงรักษา อย่างที่ทำกันบ่อยๆแต่เมื่อเดือนที่แล้วมีแสงแดด
ไม่เพียงพอ ทำให้การสังเคราะห์แสงไม่ดี ต้นหญ้าก็เลยไม่เขียวอย่างที่คิด หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ ถึงความลำบากตามเงื่อนไขของสภาพอากาศ”
แต่ถ้อยแถลงของอธิบดี สวนทางกับคำกล่าวของเหงียน จอง โฮ ผู้อำนวยการ สนามกีฬาแห่งชาติ หมีดิ่ญ ที่บอกว่ากำลังประสบปัญหาทางการเงิน โดยพูดว่า “คณะกรรมการบริหารจัดการสนามกีฬาหมีดิ่ญ ไม่มีเงินพอจ่ายเงินเดือนพนักงาน โดยเฉลี่ยแล้วบุคลากรแต่ละคนจะได้เงินเดือนระหว่าง 4-5 ล้านด่อง (5,600-7,000 บาท)
แต่ปัจจุบันพวกเขารับเงินเดือน คนละครึ่งเดือนเท่านั้น เขาบอกเหตุว่าการเปลี่ยนต้นหญ้าในสนามต้องใช้เงินจำนวนมาก ต้นหญ้าทั่วๆไปราคาอยู่ที่ 6 พันล้านด่อง (8,400,000 บาท) แต่ถ้าเกิดเป็นสนามฟุตบอลแบบนี้ต้องใช้เงินหลายหมื่นล้านด่อง
อดีตทหารคนหนึ่งที่อาศัยอยู่ในกรุงฮานอยให้ความมีความคิดเห็นว่า เขารู้สึกว่าสไตล์การทำงาน ของคณะกรรมการบริหารการจัดการสนามกีฬาฯ ได้สะท้อนการทำงานของรัฐบาลในปัจจุบัน โปรเจคต์สำคัญๆของรัฐบาลเวียดนาม ตกอยู่ในสถานการณ์แบบนี้เนื่องจากว่าการคอร์รัปชัน และก็ผู้รับผิดถูกใจขาดความรับผิดชอบ
ส่วนอดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองทหาร คนหนึ่งบอกว่า สนามกีฬาหมีดิ่ญ เป็นสัญลักษณ์ของทุกอย่าง ที่ผิดพลาดในการบริหารเศรษฐกิจของรัฐบาล… “มันไม่ได้เป็นไปตามหลักเศรษฐกิจ ไม่ได้มีไว้เพื่อรับใช้ประชาชนแต่เป็นเพียงด่านหน้าหรือเครื่องมือ หรือสถานที่เพื่อประโยชน์ส่วนตนเท่านั้น”
โดย อดีตนายกรัฐมนตรีฟาน วัน ขาย เป็นผู้อนุมัติให้สร้าง สนามกีฬาแห่งชาติ ใน Vietnam National Sports Complex เมื่อเดือนกรกฎาคม ปี 2543
และ Hanoi International Group (HISG) ของจีน เอาชนะบริษัทต่างชาติ 3 แห่ง ในการประมูลเพื่อทำสัญญาก่อสร้าง ตอนนั้นสภาประเมินการประมูล (Bidding Appraisal Council) มีนายเหวียน ถั่น ฟาน เป็นประธาน
แล้วก็เขาเจาะจงในตอนนั้นว่าแผนสถาปัตยกรรมของ HISG ไม่น่าพอใจ แต่หลังจากนั้นไม่นานกระทรวง การก่อสร้างก็เปลี่ยนใจและบอกว่า แผนเป็นไปตามมาตรฐาน
สำหรับ สนามกีฬา เริ่มก่อสร้างหลังจากนั้น และก็เปิดตัว
ด้วยการเป็นเจ้าภาพ จัดการแข่งขันกีฬา Southeast Asian games เมื่อปี 2546 อีกทั้งเป็นสนามรังเหย้าของ ทีมฟุตบอลชาติเวียดนาม และจากข้อมูลของสหพันธ์ ฟุตบอลเวียดนาม (Vietnam Football Federation) เปิดโปงว่าทุกนัดในการแข่งขัน ชิงแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติอาเซียน (ASEAN Football Federation Championship)
จะต้องเสียเงิน 800 ล้านด่อง (1 ล้าน 1 แสนบาท) และยังต้องซื้อปุ๋ยอีก 120 ล้านด่อง (169,100 บาท) เพื่อซื้อปุ๋ยบำรุงหญ้าในสนามด้วย
ด้าน ดิ่ญ คิม ฟุก นักค้นคว้าประเด็นทะเลจีนใต้ ให้ความมีความเห็นว่า การจัดการ สนามกีฬาแห่งชาติ ที่ผิดพลาด นับว่าเป็นการทำลายความภาคภูมิใจของชาติ เขากล่าวว่าประหลาดใจ ที่มองเห็นประมุขแห่งรัฐของเวียดนาม ไปดูการแข่งขันที่สนามกีฬาหมีดิ่ญ หลายคราว ถ้าหากให้พิจารณาถึงสภาพปัจจุบันของสนาม ประเด็นนี้ต้องมีการหารืออย่างลึกซึ้งมากขึ้น เพื่อรักษาหน้ากีฬาของประเทศ และก็เขาเสนอว่าเจ้าหน้าที่ระดับหัวแถวทุกคนที่มีความเกี่ยวข้อง โดยตรงหรือโดยอ้อมของสนามกีฬากีฬาหมีดิ่ญ “ควรถูกไล่ออกเพื่อเป็นตัวอย่าง”
ในเวลาเดียวกันนี้ นายกรัฐมนตรีฝั่ม มิญ จิ๊ญ ได้กล่าวถึงสภาพที่น่าเสียใจของสนามหมีดิ่ญ ในระหว่างการประชุมกับกระทรวงวางแผนรวมทั้งการลงทุนเมื่อต้นเดือน และก็ขอให้ผู้อำนวยการศูนย์กีฬาแห่งชาติทำงานร่วมกับภาคเอกชน เพื่อหาวิธีจัดการกับสนามให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม ประธานาธิบดี เหวียน ซวน ฟุกของเวียดนาม ยื่นหนังสือลาออก หลังจากพรรคคอมมิวนิสต์ พบว่า เขามีส่วนรับผิดชอบ ต่อการกระทำผิดของรัฐมนตรีบางคนในสมัยที่เขาเป็นนายกรัฐมนตรี ซึ่ง เหวียน ซวน ฟุก ประธานาธิบดีวัย 68 ปี เพิ่งดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศ
ที่มีหน้าที่ในทางพิธีการได้เพียงไม่ถึง 2 ปี หลังจากเคยดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีช่วงปี 2559-2564